ประวัติศาสตร์ย่อของสุรายาเมา
(โดย นางสาวสุภาภรณ์ คำภีระ)
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยพบเห็นหรือแม้แต่เคยลิ้มลองสุรายาเมาไม่มากก็น้อย แต่เชื่อเถอะว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เราไปดูกันซิว่าประวัติความเป็นมาของสุรายาเมานั้นเป็นยังไง
เรื่องนี้ปรากฎอยู่ในกุมภชาดก โดยพระพุทธเจ้าทรงยกนิทานสอนใจแก่หญิงนักดื่มสุรา ทั้ง 500 คนที่เป็นเพื่อนกับนางวิสาขามหาอุบาสิกา ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งพระเจ้าพรมทัตครองเมืองพาราณสี มีนายพรานคนหนึ่งได้เข้าป่า ล่าสัตว์ เพื่อหาของมาค้าขาย มีอยู่วันหนึ่งเขาไปเจอต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตรงกลางมีลักษณะเป็นโพรงคล้ายตุ่มน้ำขนาดใหญ่รอบๆ ต้นไม้มีต้นสมอ มะขามป้อม พริกไทย และต้นข้าวสาลี เมื่อฝนตกลงมาน้ำก็ขังอยู่ในโพรงต้นไม้ ลูกสมอ มะขามป้อม และพริกไทยก็หล่นลงมาอยู่ในโพรงไม้ที่มีลักษณะคล้ายตุ่ม มีนกชอบคาบเอารวงข้าวมาจับกินที่ยอดไม้เม็ดข้าวจึงหล่นลงมาหมักกับน้ำในโพรงไม้
เมื่อถึงหน้าแล้งอากาศร้อน สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมกระหายน้ำเป็นธรรมดา ฝูกนกฝูงหนึ่งบินมากินน้ำที่ต้นไม้นั้นก็มีอาการมึนเมาและพลัดตกลงมาจากต้นไม้ และหลับไปครู่หนึ่งก็ฟื้น ฝูงลิงเองก็กระหายน้ำและดื่นน้ำนั้นเข้าไป ก็เกิดอาการเช่นเดียวกันกับฝูงนก วันนั้นนายพรานได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเกิดความสงสัยว่า “ถ้าน้ำนั้นมีพิษ พวกสัตว์คงตายไปละ คงไม่ร่วงลงมาหลับแล้วฟื้นขึ้นมาได้หรอก” ว่าแล้วนายพรานก็ได้ลิ้มลองน้ำในโพรงไม้นั้น เช่นกันนายพรานเกิดอาการมึนเมาแต่ไม่ได้หลับ นายพรานอยากกินเนื้อสัตว์ต่อจึงไปนำนกที่ตกหล่นมาปิ้งกิน มือข้างหนึ่งถือนกที่ปิ้งแล้ว อีกข้างฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน นายพรานเป็นเช่นนี้อยู่ 2 วัน จึงออกเดินทางต่อ และก็ไม่ลืมที่จะตักน้ำนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ติดตัวไปด้วย
ต่อมานายพรานไปพบดาบสชื่อว่าวรุณะที่บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าเข้าก็ชวนกันดื่มน้ำที่พกมาด้วยนั้น ทั้งคู่จึงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน น้ำนั้นจึงได้ชื่อว่า “สุรา” หรือไม่ก็ “วรุณะ” ตามชื่อของนายพราณและดาบส
หลังจากที่ดื่มน้ำนั้น ทั้งคู่จึงเกิดไอเดียคิดจะประกอบธุรกิจ จึงพากันตักน้ำนั้นแล้วหาบไปถวายพระราชา พระราชาได้ลิ้มลองแล้วก็ติดใจทรงประทานของรางวัลให้แก่นายพรานและดาบส อีกทั้งยังรับสั่งให้ทั้งคู่เอาน้ำนั้นมาถวายอีก เมื่อน้ำนั้นหมดก็รับสั่งให้ถวายอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จนนายพรานและดาบสปรึกษากันว่า “สงสัยจะเทียวไปเทียวมาไม่ไหว เราหาทางปรุงสุราขึ้นมาเองดีกว่า” ทั้งคู่จึงไปจดจำสิ่งที่ประกอบกันในน้ำนั้นแล้วนำมาปรุงที่ในเมือง นอกจากจะถวายให้พระราชาแล้วยังขายให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย หลังจากนั้นชาวเมืองก็พากันดื่มสุราจนเมามายไม่เป็นอันทำการทำงานทำให้ชาวเมืองยากจนไปตามๆ กัน ในที่สุดผู้คนก็กลายเป็นนักเลงสุรา และเมืองก็กลายเป็นเมืองร้าง ทั้งนายพรานและดาบสเห็นท่าไม่ดี คิดว่าไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนแล้วจึงย้ายเมืองไปยังเมืองอื่น และเมืองนั้นก็เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองพาราณสี และย้ายต่อไปยังเมืองสาวัตถี
เมื่อถึงเมืองสาวัตถีเจ้าเมืองอย่างพระเจ้าสัพพมิตต์นั้นก็ต้อนรับเป็นอย่างดี และรับสั่งให้ทั้งคู่ปรุงน้ำสุราถวาย ในขณะเดียวกันก็ส่งทหารไปสอดแนมนายพรานและดาบสปรุงสุรา นายพรานและดาบสปรุงสุราไว้ 500 ตุ่ม แต่กลัวว่าหนูจะมากิน จึงฝึกแมว 500 ตัวให้มาเฝ้าตุ่มไว้ แต่แมวกระหายน้ำจึงพากันกินน้ำนั้นแล้วก็เมาหลับไป พอหนูมาก็มาแทะหูแมวบ้าง จมูกบ้าง แต่แมวก็ไม่ตื่น ทหารที่เฝ้าดูอยู่ก็คิดว่าแมวตายจึงกลับไปบอกพระราชาว่าน้ำนั้นเป็นยาพิษ พระราชาจึงรับสั่งให้ประหารนายพรานและดาบสนั้นเพราะคิดว่าทั้งสองจะลอบปลงพระชนม์ ถึงแม้ทั้งคู่นั้นจะบอกว่าน้ำนั้นเป็นสุรารสเลิศก็ไม่ทรงเชื่อ และยังสั่งทหารให้ทำลายตุ่มนั้นจนหมดสิ้น เมื่อทหารกำลังจะทำลายตุ่มนั้นก็เห็นแมวตื่นขึ้นมา จึงรีบกลับไปกราบทูลพระราชา พระราชาจึงรับสั่งให้นำสุรามาถวายเพื่อที่จะทดลองดื่มดู
ในณะนั้นเอง ท้าวสักกะเห็นว่าถ้าพระราชาดื่มสุราเข้าไป ทั้งเมืองและชาวเมืองสาวัตถี จะพบกับความพินาศจึงแปลงกายเป็นพราหมณ์ถือหม้อสุราเหาะมาหาพระราชาและประกาศร้องขายหม้อ เมื่อพระราชาเห็นจึงตรัสถามว่า “ท่านเป็นใคร ทำไมมาร้องขายหม้อที่นี้ แล้วหม้อของท่านใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง”
พราหมณ์ตอบว่า “ขอเดชะ หม้อใบนี้ไม่ใช่หม้อน้ำผึ้งที่มีประโยชน์แก่ท่านแต่หม้อนี้มีโทษมหันต์ ผู้ใดที่ดื่มเข้าไปแล้ว ผู้นั้นจะเดินโซซัดโซเซ ตกหลุมตกบ่อ ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป ฟ้อนรำ ขับร้องได้ เดินแก้ผ้าเปลือยกายตามถนนก็ได้ นอนตื่นสาย พูดคำที่ไม่ควรพูด กินอาหารที่เหลือเดนสุนัขก็ได้ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตนก็มี แถมยังตาขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราผู้เดียว ทั้งยังทะเลาะวิวาททำให้เสียทรัพย์สินเงินทอง ไร่นา และยังด่ามารดาบิดาได้ ฆ่าสมณะชีพราหมณ์ได้ ท่านซื้อหม้อใบนี้ของข้าเถิด เพราะหม้อใบนี้ก็เป็นสุราเช่นเดียวกัน ท่านดื่มเถิด ถ้าท่านต้องการเห็นบ้านเมืองและชาวเมืองของท่านพินาศ”
พระราชา “พราหมณ์ ท่านไม่ใช่พ่อแม่เราแต่ท่านหวังดีกับเราขนาดนี้ เราจะยกบ้านที่เราเก็บภาษีให้ 5 ตำบล ทาสอีก 500 คน วัว 700 ตัว รถม้าอีก 10 คัน ให้ท่าน และขอให้ท่านเป็นอาจารย์ข้าเถิด”
พราหมณ์แสดงตนว่าเป็นท้าวสักกะ และบอกแก่พระราชาว่า “บ้าน ทาส รถม้า เราไม่เอาหรอก เราขอพระองค์จงตั้งอยู่ในธรรมอย่าประมาทก็พอ”
เมื่อประทานพรเสร็จก็กลับสู่วิมานสถานของตน ส่วนพระราชาก็ไม่ดื่มสุราและยังมีรับสั่งให้ทำลายทิ้งให้หมด เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์
ประวัติอย่างย่อของสุเรายาเมาก็จบลงเพียงเท่านี้
เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าการดื่มสุรานั้นมีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง ก็แล้วแต่ท่านแล้วล่ะว่าควรทำอย่างไร ขอปิดท้ายด้วยคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” รักนะจุ๊บจุ๊บ